พระอภัยมุณี
โอ๊ยเบื่อ กรุงเทพ
ร้อนก็ร้อน รถก็ติด
ไปไหนก็ไม่สะดวกเลย
แหมแกจะมาเบื่อเบ่ออะไรละหึ
กรุงเทพเขามีของดีตั้งเยอะ
ไหนของดี ของดี
แหมสะพานพระราม 9 นะ
แกเคยไปหรือเปล่าล่ะหึ
อ๋อสะพานแขวนนั่นหรือ
นั่นแหละเขาสร้างมาตั้งนานแล้ว
ยังไม่ทันเท่าไรเลย พังเสียแล้ว
แหมไปดูเสียมั่งสิ
สะพานแค่นี้ก็ไปว่าเขา
เอาอย่างนี่ดีกว่าเรา
ฉันไม่ได้ว่ามันพังจริงจริง อะเฮ้ย
เราไปทะเลกันดีกว่า ไปเที่ยวกัน
เอ้อดีเหมือนกัน
มันจะได้เย็นใจบ้าง ไปไหนล่ะ
ไประยอง
เอ้อดีเหมือนกัน
ฉันจะได้ดูผีเสื้อสมุทร เฮอะ
เอ๊ย สายลมโบกโบยพัดมา เออ
เกลียวคลื่นพลิ้วมา กระแทกชายฝั่ง
เอ๊ย ฟังคล้ายจังหวะจะโคน
โยกโยกโยนโยนเป็นเสียงดนตรี
ชายหนุ่มนั่งลงริมฝั่ง
เหมือนภาพความหลังวรรณคดี
ตัวเขาเหมือนพระอภัยมุณี
มานั่งเป่าปี่อยู่ที่ริมทะเล
เป็นเรื่องราวฉุกคิดในใจ
ว่าปี่พระอภัยคงคล้ายปี่หนุ่มคนนั้น
ถึงวันเวลาจะไกลห่างกัน
เอ้า วันเวลาจะไกลห่างกัน
แต่ปี่สองคนนั้นทําจากบ้องไม้ไผ่
เอ๊ย ก็สังคมในทุกทุกวัน เออ
อาทิตย์ถึงจันทร์รึมันก็รกขมอง
เอ๊ย ก็ต้องหยิบเรื่องราวเบาเบา
มาร้องมาเป่าคละเคล้าสําเนียง
เรื่องราวดําเนินเรื่อยไป
ปี่พระอภัยทําไมถึงไม่มีเสียง
เวลาเป่าต้องทําคอเอียง
ต้องคอยมองเมียงดูทิศทางลม
ริมทะเลธรรมชาติเป็นใจ
กอดบ้องไม้ไผ่เจาะเป็นรูรู
เป่าตรงปากจนควันออกหู
เอ้า เป่าตรงปากจนควันออกหู
พระอภัยก็ดูเป็นอารมณ์ดี เอ๊ย ทําไม
เอ๊ย เสียงเพลงยั่วเย้าอารมณ์
ผู้ใหญ่ชื่นชมว่าหมดปัญหา
เด็กจะได้ปิดหูปิดตา
จะหมดเวลาไปกับดนตรีกาล
เฮ้ยเฮ้ยเฮ้ยเฮ้ย ก็เสียงเพลงร้องเพื่อชีวิต
เดี๋ยวเด็กเขาจะคิดกําเริบเสิบสาน
เสียอารมณ์การบริหาร
รับประทานข้าวไม่อร่อย
ถึงเวลาสังคยานาเมืองไทย
ผู้หลักมักใหญ่ชอบปิดหูปิดตา
เอ๊ย จนเด็กต้องพากันเดินคอเอียง
เอ๊ย เด็กต้องพากันเดินคอเอียง
ไปจุดตะเกียงเป่าปี่พระอภัย
เอย เอ๊ย ทําไม ทําไม